เข้าสู่ยุคการตลาด 4.0 รออะไรกัน เขาไปกันหมดแล้ว
เข้าสู่ยุคการตลาด 4.0 ยุคที่ความสำเร็จของการทำธุรกิจ ขึ้นกับ อำนาจที่อยู่ในมือของผู้บริโภค ที่เชื่อมโยงถึงกัน
มาย้อนรอยวิวัฒนาการการตลาด และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค Marketing 4.0 หรือ การตลาด 4.0 เวลาที่ได้ยินแล้ว หมายถึง การตลาดที่ต้องทำบนเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุด? ต้องมีนวตกรรมแห่งอนาคตเข้ามาจัดการมั๊ย? คำตอบ คือ ไม่ใช่ครับ! แต่มันคือการที่เราที่เป็นนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจ ต้องทำการตลาดกับผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป มีรูปแบบเป็นผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่มีทัศนคติว่า “เทคโนโลยีทำให้ชีวิตดีขึ้น”
รออะไรกัน! เข้าสู่ยุคการตลาด 4.0 กันแล้ว ยุคที่ความสำเร็จของการทำธุรกิจ ขึ้นกับ อำนาจที่อยู่ในมือของผู้บริโภค ที่เชื่อมโยงถึงกัน ย้อนรอยวิวัฒนาการการตลาด และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค Marketing 4.0 หรือ การตลาด 4.0 เวลาที่ได้ยินแล้ว หมายถึง การตลาดที่ต้องทำบนเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุด? ต้องมีนวตกรรมแห่งอนาคตเข้ามาจัดการมั๊ย? คำตอบ คือ ไม่ใช่ครับ! แต่มันคือการที่เราที่เป็นนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจ ต้องทำการตลาดกับผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป มีรูปแบบเป็นผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่มีทัศนคติว่า “เทคโนโลยีทำให้ชีวิตดีขึ้น” โดยใช้ความคิดทักษะความรู้ด้านการตลาด ยิ่งมีความคิดสร้างสรรค์ หรือคิดนอกกรอบได้ยิ่งดี เพื่อวิเคราะห์ ค้นหาปัญหา ความต้องการ เห็นโอกาสจากสิ่งที่คนอื่นยังมองไม่เห็น และเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของผู้บริโภคให้เจอ เมื่อได้คำตอบแล้วก็นำมาวางแผนกลยุทธ์การตลาด โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วย พร้อมด้วยกระบวนการจัดการทางธุรกิจที่ดีในการนำเสนอ สินค้าและบริการกับลูกค้า เพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้าครับ
แล้วการตลาดคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจ?
การตลาด ก็คือ เครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ได้ยอดขายและผลกำไรตามที่ต้องการ โดยการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย โดยเริ่มจากการมองหาสิ่งที่เป็นความต้องการ หรือปัญหาของลูกค้า แล้วจึงตอบสนองต่อความต้องการ หรือช่วยแก้ปัญหานั้นๆ ของลูกค้า ด้วยการสร้างคุณค่า สื่อสารกลับไปให้ลูกค้ารับรู้ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และเกิดการซื้อ หรืออาจเป็นการนำเสนอประสบการณ์ที่ดี คุณค่าใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นสินค้าชนิดเดิมก็ตาม ให้ในสิ่งที่สูงกว่าการขายของธรรมดาทั่วไปแก่ลูกค้า ในแง่ธุรกิจ การตลาดก็จะช่วย ทำให้เกิดยอดขายและผลกำไร สร้างฐานลูกค้า ช่วยปกป้องและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างโอกาสทางธุรกิจของเราด้วยครับ
ก่อนจะไป การตลาด 4.0 เรามามองย้อนไปว่า… วิวัฒนาการของการตลาดและการดำเนินไปของพฤติกรรมผู้บริโภค ที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เพื่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจกันก่อนครับ
“ยุคก่อนการตลาด” คือ ยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เพื่อการดำรงชีวิต ผลผลิตที่เหลือจากการบริโภค จะถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับ สิ่งที่ต้องการกับ เพื่อนบ้าน เช่น เราอาจนำข้าวจากไร่ของเรา ไปแลกกับน้ำนมของ ฟาร์มเพื่อนบ้าน หรือพูดได้ว่า จุดเริ่มต้นของการตลาด คือ “การแลกเปลี่ยนสินค้า” ต่อมาเมื่อผลผลิตมีมากกว่าแค่การแลกเปลี่ยน เพื่อการบริโภค จึงเกิดการพัฒนาเข้าสู่ระบบการซื้อขาย มีผู้ขายที่มาจากผู้ผลิต และผู้ซื้อที่เรียกว่าผู้บริโภค เริ่มมีการใช้เงิน เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน แต่สินค้าก็ยังคงเป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน คือ ปัจจัย 4 (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยา ที่อยู่อาศัย) จนเริ่มเข้าสู่ยุคเริ่มต้นอุตสาหกรรม ยุคที่ความต้องการสินค้ามีเป็นจำนวนมาก ทั้งจากทางฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเน้นไปที่การผลิตสินค้า แต่ก็ยังเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยเริ่มมีราคาของสินค้าเข้ามาเป็นตัวเปรียบเทียบ ในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ผู้ครอบครองตลาดส่วนใหญ่ จึงเป็นผู้ผลิตที่มีกำลังผลิตสูง มีต้นทุนที่ต่ำกว่า ราคาขายจึงถูกกว่าได้ และเริ่มมีคนกลางหรือผู้ขาย ที่นำสินค้าจากผู้ผลิต ไปจัดจำหน่าย มีการสร้างแบรนด์หรือชื่อของสินค้า เพื่อแยกผู้ขายแต่ละรายออกจากกัน และเริ่มมีการนำเทคนิคการตลาด คือ 2Ps สินค้า(Products) + ราคา(Price) เข้ามาใช้ในการแข่งขันระหว่างผู้ขายด้วยกันเอง
ยุคการตลาด 1.0
ยุคที่ผู้ผลิตมีแนวคิดว่า ผู้คนนิยมผลิตภัณฑ์ราคาถูก แต่ต้องมีคุณภาพดีที่สุดด้วย เน้นการแข่งขันด้านการขายสินค้ามากกว่าความสามารถด้านการผลิต โดยมอง “สินค้าเป็นศูนย์กลาง” ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญ กับความต้องการของผู้บริโภค สินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ ยังเป็นสินค้าตอบโจทย์ขั้นพื้นฐาน ส่วนผู้ผลิตก็มีความต้องการผลิตให้ได้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนด้านการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเรื่องราคา จึงเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรม มีวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดด ผู้ผลิตมีการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาเพื่อช่วยในเรื่อง กำลังและประสิทธิภาพ การผลิตสินค้าจำนวนมาก ตามความต้องการระดับมวลชน(Mass)
จากคำถามที่ว่า จะผลิตอย่างไร เปลี่ยนมาเป็นจะผลิตอะไร และจะขายอย่างไร เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากเดิมที่ใช้เทคนิคแค่ 2Ps สินค้า(Products) + ราคา(Price) หรือสินค้าตรงกับความต้องการและราคาถูกกว่า มาสู่การวางแผน กลยุทธ์การตลาด(Strategic Marketing) หรือ 4Ps เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เมื่อสินค้าเหมือนกัน ราคาไม่ต่างกัน แล้วทำอย่างไรให้ผู้บริโภค ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของเราครับ!
โดยกลยุทธ์การตลาด 4Ps ประกอบไปด้วย สินค้า(Product) + ราคา(Price) + สถานที่จัดจำหน่าย(Place) + การส่งเสริมการขาย(Promotion)
นั่นคือว่า นอกจากสินค้าตรงความต้องการ ราคาถูกกว่าแล้ว ถ้าทำเลที่ตั้งขายสินค้า อยู่บริเวณชุมชนหรือสัญจรไปมาง่าย โอกาสในการขายก็มากขึ้นตามไปด้วย พร้อมทั้งมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เช่น ซื้อ 1 แถม 1 ลดราคา หรือ มีของแถม ยิ่งเชิญชวนให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของเราได้ง่ายขึ้น พร้อมกับมีการทำวิจัยการตลาดร่วมด้วย เพื่อช่วยในการออกแบบวางแผนกลยุทธการตลาด 4Ps ให้มีประสิทธิภาพ ได้ยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ยุคการตลาด 2.0
เปลี่ยนแปลงอำนาจทางการตลาด จากผู้ผลิต มาเป็น ผู้บริโภค เพราะอินเทอร์เน็ตได้ลดข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูล ข้อมูลและความรู้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน กับผู้บริโภคที่ รู้มากขึ้น! เข้าใจมากขึ้น! และเรียกร้องมากขึ้น! การทำการตลาดก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น ให้ความสำคัญและตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด เป้าหมายทางการตลาด เปลี่ยนจากการทำตลาดแบบมวลรวม(mass market) มาเป็นการทำตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย(Target market)
ผู้บริโภคจากที่เคยเลือกซื้อสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาด ก็เปลี่ยนมาเป็นค้นหาและเรียกร้องสินค้า ที่ตอบสนองตรงความต้องการ ตามข้อมูลที่ได้รับ เช่นตามกระแส หรือสินค้ายอดนิยม กลยุทธ์การตลาดจากที่เคยมี “สินค้าเป็นศูนย์กลาง” (4Ps) ได้พัฒนามาเป็น “ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง(4Cs)” หรือ ความต้องการ(Customer) + ต้นทุนของผู้บริโภค(Cost) + ความสะดวกสบาย(Convenience) + การสื่อสาร(Communication)
หมายถึงว่า ผู้บริโภคจะเรียกร้องสินค้า ที่ตอบสนองตรงความต้องการ และพิจารณาจากค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด ในขั้นตอนการซื้อสินค้า ไม่ใช่เปรียบเทียบเรื่องราคาอย่างเดียว เลือกซื้อจากที่มีความสะดวกในการซื้อ เช่น ระยะทางใกล้หรือเป็นทางที่ต้องเดินทางผ่านเป็นประจำ โปรโมชั่นอย่างเดียวอาจไม่ดึงดูดได้แล้ว แต่ต้องสามารถสื่อสารข้อมูล สร้างความพึงพอใจได้ เช่นเรื่องคุณสมบัติ ภาพลักษณ์ มีความเข้าใจถึงความต้องการ ในมุมผู้บริโภค ไม่ใช่คิดเอาเองว่านี่คือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการครับ และการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต ยังได้นำไปสู่ธุรกิจรูปแบบใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า “การค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Commerce” ที่เป็นการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ผู้บริโภคสามารถค้นหาและเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการ ได้จากผู้ขายที่มีอยู่ทั่วโลก ในส่วนผู้ขายก็ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้มาก เพราะไม่ต้องมีหน้าร้าน เปิดขายได้ 24 ชั่วโมง นำเสนอสินค้าแก่ผู้ซื้อที่มีอยู่ทั่วโลกได้เช่นเดียวกัน
เมื่อตลาดของผู้บริโภคที่ใหญ่ขึ้น ความหลากหลายและความต้องการที่แตกต่าง ก็มากขึ้นตามไปด้วย กลยุทธ์การตลาดก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “คุณค่าของสินค้า (Product Values)” มากขึ้น จากที่เคยทำการทำตลาดมวลรวม เปลี่ยนมาเป็นการทำการตลาดแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Target Market)
กลยุทธ์การตลาดจึงเป็นการผสมผสานระหว่าง กลยุทธ์การตลาด (4Cs) มาเป็นกลยุทธ์การตลาดแบบ (STP) ซึ่งประกอบไปด้วย
S (Segmentation)
T (Targeting)
P (Positioning)
ยุคการตลาด 3.0
ยุคการตลาด 3.0 ยุคเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ผู้บริโภคมีอำนาจในการสื่อสารระหว่างกันเองมากขึ้น เกิดการ รวมกลุ่ม อำนาจในการต่อรองก็มากขึ้นตามไปด้วย มีความสนใจและให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ ความเป็นอยู่ของสังคมมากขึ้น เพราะอีกด้านหนึ่งของความเจริญ ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี คือการทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างมลภาวะ และปริมาณการใช้และทำลายทรัพยากรธรรมชาติก็มากขึ้นตามไปด้วย
การเชื่อมโยงระหว่างกันของผู้บริโภค ได้เข้ามามีบทบาทต่อความคิดและการดำเนินชีวิต มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมอง ทัศนคติ สนใจในเรื่องที่กำลังเป็นที่นิยม หรือกระแสสังคม การตัดสินใจจะฟังคำแนะนำ จากคนรอบข้าง รีวิว มากกว่าจากทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ เลือกรับข้อมูลเฉพาะสิ่งที่ตัวเอง สนใจหรือต้องการ จากข้อมูลจำนวนมากบนโลกโซเชี่ยล การตลาดยุค 3.0 นอกจากกลยุทธ์ พื้นฐาน(4Cs) เพื่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังต้องเน้นความเป็นมนุษย์ นำประเด็นแนวคิดการตลาดเพื่อสังคมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้วย โดยต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งด้านจิตใจ และอารมณ์ ไปพร้อมกับการมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่เราเอง ก็ยังสามารถสร้างผลกำไรได้ครับ
สรุป
มาถึงตรงนี้ก่อนหน้านั้นที่เรา เข้าสู่ยุคการตลาด 4.0 พอจะรู้อะไรแล้วนะครับว่าในแต่ละยุคที่ผ่านๆมานั้น สิ่งที่บ่งบอกเราได้หลายอย่าง เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลกับเราที่กำลังทำธุรกิจ ไม่ว่าจะทางใดก็างหนึ่ง ที่เราจะต้องโดนผลกระทบ หรือถ้าเราสามารถที่จะรับรู้รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ ก็จะส่งผลดีมาที่ตัวเราเอง เราต้องปรับเปลี่ยนตัวของเรา และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าเราให้ดี ดูแลเขาให้ดี ขั้นตอนในการตัดสินใจซื้อมีมากขึ้น ลูกค้าต้องการการรับรู้ การเข้าถึงข้อมูลที่มีมากขึ้น แล้วเขาจะตัดสินใจเองว่าจะซื้อ หรือเดินหนีออกไป
ถ้าจะมองกันดีๆ คือคุณต้องให้ลูกค้าของคุณมีส่วนร่วม และทำด้วยเป็นเพื่อนที่ดีกับเขา อีกทั้งคุณเองก็ต้องมีมตรที่ดี มีพันธมิตรที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ใช่สร้างศัตรู หรือจะเอาแต่ค่อยขายสินค้าอย่างเดียว
“การร่วมมือกับคู่แข่ง(Collaboration) และการร่วมมือเป็นผู้สรรสร้าง (Co–creation) กับผู้บริโภค นับเป็นเรื่องสำคัญของการทำการตลาดในยุค 4.0 ที่คุณต้องตระหนักให้ได้การแข่งขันไม่ใช่เกมที่ต้องมีฝ่ายชนะและแพ้เสมอไป”
บทความที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
เข้าใจลูกค้า เพื่อโอกาสในการเพิ่มยอดขาย
เข้าใจลูกค้า เพื่อที่เราจะได้เพิ่มโอกาสมนการขายสินค้าหรือบริการของเราให้มากขึ้น ยิ่งเราอยู่ในยุคของ BIG DATA ที่ข้อมูลกลายเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ หลายบริษัทได้มีการนำข้อมูลมาช่วยวิเคราะห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลลูกค้า...
ทางรอดพร้อมโอกาส หรือ ความกังวลและยอมถูกทำลาย คุณเลือกที่จะเป็นได้
<br /> ทางรอดและโอกาส (Chance) หรือ มองด้วยความกังวลและยอมถูกทำลาย (Disrupt) อยู่ที่คุณเลือก...มอง กับ ตลาดนัดร้านค้าออนไลน์ หรือ e-Marketplace ธุรกิจในโลกยุคดิจิตอล มองเห็นเป็น เมื่อโลกยุคดิจิตอล ยุคที่มนุษย์ถูกลดบทบาท แต่เทคโนโลยีจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆแทน...
ลดความเสี่ยง พร้อมรับวิกฤติ ต่อยอดธุรกิจ ด้วย Online-Offline Marketing (O2O)
ลดความเสี่ยง (Risk Reduction)...อะไรคือความเสี่ยง ความเสี่ยงคือการที่เรากลัว หรือไม่กล้ามันคงไม่ใช่อย่างนั้น แต่ความเสี่ยงในการทำธุรกิจ คงพูดได้ว่า มันคือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ หรือรู้ให้ได้ก่อน แล้วเราจะสามารถควบคุมความเสี่ยงนั้นๆ ได้...